“ พระพุทธรูปองค์แสน จิตรกรรมฝาผนังทั้งด้านในและด้านนอกวิหาร หอไตร ตัววิหาร เป็นโบราณสถานอายุกว่า 400 ปี ”
วัดโพธิ์ชัยนาพึง มีพระพุทธรูปสำคัญศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพของชาวบ้าน คือ พระเจ้าองค์แสน หรือพระพุทธรูปฝนแสนห่า ตามประวัติเล่าว่า เสด็จมาจากเมืองเชียงแสนด้วยพระองค์เอง มาประดิษฐานอยุ่ที่วัดโพธิ์ชัย โดยมีฆ้องห้อยศอกมา 1 อัน และลูกแก้วเป็นทองสัมฤทธิ์มาด้วย 1 องค์ พร้อมด้วยปืน 1 กระบอก ต่อมาเจ้าเมืองเชียงของทราบข่าวจึงยกขบวนพลช้าง พลม้า เพื่อที่จะอัญเชิญไปเชียงของ แต่ไม่สามารถอัญเชิญไปได้ และเล่ากันต่อมาว่า ถ้าพระพุทธรูปองค์นี้เสด็จไปประดิษฐาน ณ ที่ใด ที่นั้นจะไม่มีการแล้ง จึงได้ชื่อว่าพระพุทธรูปฝนแสนห่า
พระพุทธรูปองค์แสน เป็นพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก กว้าง 34 เซนติเมตร สูง 50 เซนติเมตร เนื้อองค์เป็นทองสัมฤทธิ์ พระสังฆาฏิเป็นทองนาค พอถึงฤดูตรุษสงกรานต์ ชาวบ้านจะนำพระพุทธรูปองค์แสนมาสรงน้ำและทำพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงทุกปี โบสถ์และวิหารที่วัดแห่งนี้ก่อสร้างด้วยฝีมือประณีตภายในมีจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพุทธประวัติต่างๆ กรมศิลปากรได้ทำการตรวจสอบแล้ว พบว่าทั้งโบสถ์ วิหาร และพระพุทธรูปนั้นมีอายุ 400 ปี นับเป็นโบราณสถานและโบราณวัตถุที่มีค่ายิ่งของจังหวัดเลย
วัดโพธิ์ชัย บ้านนาพึง ได้ก่อตั้งในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง โดยมีขุนแกนเป็นผู้นำในการก่อสร้างได้รวบรวมคนในพื้นที่ทุกคนร่วมมือกันก่อสร้าง วิหาร โบสถ์ เจดีย์ กำแพงรอบวัด ฯลฯ ก่อด้วยอิฐและฉาบด้วยหินปูน ผสมยางไม้และหนังสัตว์ ที่ได้รับการต้มและเคี่ยวให้เหลว วัดโพธิ์ชัยแห่งนี้ เป็นวัดใหญ่ที่สังเกตเห็นได้ถึงอุโบสถ์สร้างผสมผสานกันระหว่างล้านช้างและล้านนา แล้วยังมีจิตรกรรม
เที่ยวได้ตลอดทั้งปี
รีวิวทั้งหมด
(รีวิว 20 รายการ)รีวิวเมื่อ 21 มี.ค. 59
เมื่อ พระเจ้าองค์แสน เหาะมาประทับที่วัดโพธิ์ชัยนาพึง ก็เกิดความอัศจรรย์แก่คนในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก และได้นำเอาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ ทำให้ชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงได้สร้างพระเจ้าองค์แสนอีกองค์หนึ่ง คู่กับพระเจ้าองค์แสน เรียกชื่อว่า "พระเจ้าองค์แสนเทียม" นอกจากนี้ ยังเชื่ออีกว่า หากแยกพระเจ้าองค์แสน กับพระเจ้าองค์แสนเทียม ออกจากกัน จะทำให้เกิดอุบัติเหตุ เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ทำให้ประชาชนเดือดร้อนในอดีตกล่าวกันว่า พระเจ้าองค์แสนเสด็จมาอยู่ที่วัดโพธิ์ชัยนาพึง บางครั้งก็เสด็จไปประทับที่อื่นบ้างอยู่เป็นประจำ โดยใช้แก้วที่อยู่พระเกศนำพาเสด็จ แต่เมื่อครั้งที่ไฟไหม้พระอุโบสถวัดโพธิ์ชัยนาพึง พระเจ้าองค์แสนได้เสด็จออกมาและเกิดเหตุไปชนกับประตูโบสถ์ ทำให้เกศแก้วหัก แก้วที่อยู่บนเกศเสด็จไปอยู่ที่ใต้ต้นโพธิ์ภายในวัด พอถึงวันสำคัญก็จะส่องแสงสว่างไปทั่ววัดเป็นเวลา 3 เดือน ต่อมาก็หายไป
พระเจ้าองค์แสน ก็ประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัยนาพึง บ้านนาพึงตั้งแต่นั้นมา โดยไม่ได้เสด็จไปไหนอีกเลย อภินิหารอย่างหนึ่งของพระเจ้าองค์แสน คือ ทางเมืองหลวงพระบาง ประเทศ สปป.ลาว ได้สืบค้นหาพระเจ้าองค์แสน จนทราบว่าท่านได้เสด็จมาอยู่ที่วัดโพธิ์ชัยนาพึง ทางเจ้าเมืองหลวง พระบาง จึงมาอัญเชิญพระเจ้าองค์แสนกลับเมืองหลวงพระบาง โดยจัดขบวนช้างมาอัญเชิญพระเจ้าองค์แสนกลับ แต่ไม่สามารถนำกลับไปได้ เนื่องจากช้างไม่ยอมก้าวเดิน จึงต้องอัญเชิญพระเจ้าองค์แสนประทับอยู่ที่เดิม และเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของบ้านนาพึงมาจนถึงทุกวันนี้
จากการสันนิษฐานของเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติและผู้รู้บางท่าน ซึ่งได้มีการนำเอารูปถ่ายของเกศในสมัยต่างๆ ไปเปรียบเทียบกับพระเจ้าองค์แสน พบว่า เป็นพระเชียงแสนยุคหลัง เป็นศิลปะลักษณะคล้ายไปทางหลวงพระบาง ต้นพุทธศตวรรษที่ 20 ถ้ามองแบบทางสุโขทัยก็เป็นยุคปลายสุโขทัย ข้อมูลนี้บันทึกโดย ปู่ช่วย บ้านนาพึง เรียบเรียงโดย นายอดิเรก คุณศิริ อาสาพัฒนารุ่นที่ 61 มีติดไว้ที่กุฏิเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ชัยนาพึง อ.นาแห้ว จ.เลย พุทธศาสนิกชน ที่มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวเมืองเลย ควรแวะเข้าไปกราบขอพรจาก "พระเจ้าองค์แสน" หรือ "พระเจ้าแสนห่า" พระคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดเลย เพื่อความเป็นสิริมงคล
ที่มา นสฟ ข่าวสด
รีวิวเมื่อ 21 มี.ค. 59
เมื่อ พระเจ้าองค์แสน เหาะมาประทับที่วัดโพธิ์ชัยนาพึง ก็เกิดความอัศจรรย์แก่คนในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก และได้นำเอาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ ทำให้ชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงได้สร้างพระเจ้าองค์แสนอีกองค์หนึ่ง คู่กับพระเจ้าองค์แสน เรียกชื่อว่า "พระเจ้าองค์แสนเทียม" นอกจากนี้ ยังเชื่ออีกว่า หากแยกพระเจ้าองค์แสน กับพระเจ้าองค์แสนเทียม ออกจากกัน จะทำให้เกิดอุบัติเหตุ เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ทำให้ประชาชนเดือดร้อนในอดีตกล่าวกันว่า พระเจ้าองค์แสนเสด็จมาอยู่ที่วัดโพธิ์ชัยนาพึง บางครั้งก็เสด็จไปประทับที่อื่นบ้างอยู่เป็นประจำ โดยใช้แก้วที่อยู่พระเกศนำพาเสด็จ แต่เมื่อครั้งที่ไฟไหม้พระอุโบสถวัดโพธิ์ชัยนาพึง พระเจ้าองค์แสนได้เสด็จออกมาและเกิดเหตุไปชนกับประตูโบสถ์ ทำให้เกศแก้วหัก แก้วที่อยู่บนเกศเสด็จไปอยู่ที่ใต้ต้นโพธิ์ภายในวัด พอถึงวันสำคัญก็จะส่องแสงสว่างไปทั่ววัดเป็นเวลา 3 เดือน ต่อมาก็หายไป
พระเจ้าองค์แสน ก็ประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัยนาพึง บ้านนาพึงตั้งแต่นั้นมา โดยไม่ได้เสด็จไปไหนอีกเลย อภินิหารอย่างหนึ่งของพระเจ้าองค์แสน คือ ทางเมืองหลวงพระบาง ประเทศ สปป.ลาว ได้สืบค้นหาพระเจ้าองค์แสน จนทราบว่าท่านได้เสด็จมาอยู่ที่วัดโพธิ์ชัยนาพึง ทางเจ้าเมืองหลวง พระบาง จึงมาอัญเชิญพระเจ้าองค์แสนกลับเมืองหลวงพระบาง โดยจัดขบวนช้างมาอัญเชิญพระเจ้าองค์แสนกลับ แต่ไม่สามารถนำกลับไปได้ เนื่องจากช้างไม่ยอมก้าวเดิน จึงต้องอัญเชิญพระเจ้าองค์แสนประทับอยู่ที่เดิม และเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของบ้านนาพึงมาจนถึงทุกวันนี้
จากการสันนิษฐานของเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติและผู้รู้บางท่าน ซึ่งได้มีการนำเอารูปถ่ายของเกศในสมัยต่างๆ ไปเปรียบเทียบกับพระเจ้าองค์แสน พบว่า เป็นพระเชียงแสนยุคหลัง เป็นศิลปะลักษณะคล้ายไปทางหลวงพระบาง ต้นพุทธศตวรรษที่ 20 ถ้ามองแบบทางสุโขทัยก็เป็นยุคปลายสุโขทัย ข้อมูลนี้บันทึกโดย ปู่ช่วย บ้านนาพึง เรียบเรียงโดย นายอดิเรก คุณศิริ อาสาพัฒนารุ่นที่ 61 มีติดไว้ที่กุฏิเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ชัยนาพึง อ.นาแห้ว จ.เลย พุทธศาสนิกชน ที่มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวเมืองเลย ควรแวะเข้าไปกราบขอพรจาก "พระเจ้าองค์แสน" หรือ "พระเจ้าแสนห่า" พระคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดเลย เพื่อความเป็นสิริมงคล
ที่มา นสฟ ข่าวสด
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
พระเจ้าองค์แสน เดิมประทับ อยู่ที่เมืองหงสาวดี ประเทศพม่า ต่อมาได้ย้ายมาประดิษฐานอยู่ที่จังหวัดลำพูน จากเมืองลำพูน ไปประดิษฐานอยู่ที่เมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว และจากเมืองหลวงพระบาง เสด็จมาประทับที่วัดโพธิ์ชัย บ้านนาพึง อ.นาแห้ว จ.เลย
ตามประวัติของพระเจ้าองค์แสน ได้เล่าสืบทอดต่อกันมาว่า พระเจ้าองค์แสน เมื่อไปประดิษฐาน ณ ที่แห่งใด จะมีฝนตกต้องตามฤดูกาล น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ เมื่อครั้งที่ พระเจ้าองค์แสน ประดิษฐานที่วัดโพธิ์ชัยนาพึง ได้เสด็จมาทางอากาศ ขณะที่เสด็จมานั้นได้นำฆ้องน้อยห้อยที่ศอก และปืนห้อยศอกมาด้วย 1 กระบอก พร้อมกับมีพระพุทธรูปองค์เล็กติดตามมาด้วย 2 องค์ มีชื่อว่า พระเจ้าแก้ว หรือชาวบ้านเรียกว่า ลูกพระเจ้าองค์แสน
เมื่อ พระเจ้าองค์แสน เหาะมาประทับที่วัดโพธิ์ชัยนาพึง ก็เกิดความอัศจรรย์แก่คนในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก และได้นำเอาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ ทำให้ชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงได้สร้างพระเจ้าองค์แสนอีกองค์หนึ่ง คู่กับพระเจ้าองค์แสน เรียกชื่อว่า 'พระเจ้าองค์แสนเทียม' นอกจากนี้ ยังเชื่ออีกว่า หากแยกพระเจ้าองค์แสน กับพระเจ้าองค์แสนเทียม ออกจากกัน จะทำให้เกิดอุบัติเหตุ เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ทำให้ประชาชนเดือดร้อน
ในอดีตกล่าวกันว่า พระเจ้าองค์แสนเสด็จมาอยู่ที่วัดโพธิ์ชัยนาพึง บางครั้งก็เสด็จไปประทับที่อื่นบ้างอยู่เป็นประจำ โดยใช้แก้วที่อยู่พระเกศนำพาเสด็จ แต่เมื่อครั้งที่ไฟไหม้พระอุโบสถวัดโพธิ์ชัยนาพึง พระเจ้าองค์แสนได้เสด็จออกมาและเกิดเหตุไปชนกับประตูโบสถ์ ทำให้เกศแก้วหัก แก้วที่อยู่บนเกศเสด็จไปอยู่ที่ใต้ต้นโพธิ์ภายในวัด พอถึงวันสำคัญก็จะส่องแสงสว่างไปทั่ววัดเป็นเวลา 3 เดือน ต่อมาก็หายไป
พระเจ้าองค์แสนก็ประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัยนาพึง บ้านนาพึงตั้งแต่นั้นมา โดยไม่ได้เสด็จไปไหนอีกเลย อภินิหารอย่างหนึ่งของพระเจ้าองค์แสน คือ ทางเมืองหลวงพระบาง ประเทศ สปป.ลาว ได้สืบค้นหาพระเจ้าองค์แสน จนทราบว่าท่านได้เสด็จมาอยู่ที่วัดโพธิ์ชัยนาพึง ทางเจ้าเมืองหลวง พระบาง จึงมาอัญเชิญพระเจ้าองค์แสนกลับเมืองหลวงพระบาง โดยจัดขบวนช้างมาอัญเชิญพระเจ้าองค์แสนกลับ แต่ไม่สามารถนำกลับไปได้ เนื่องจากช้างไม่ยอมก้าวเดิน จึงต้องอัญเชิญพระเจ้าองค์แสนประทับอยู่ที่เดิม และเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของบ้านนาพึงมาจนถึงทุกวันนี้
จากการสันนิษฐานของเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติและผู้รู้บางท่าน ซึ่งได้มีการนำเอารูปถ่ายของเกศในสมัยต่างๆ ไปเปรียบเทียบกับพระเจ้าองค์แสน พบว่า เป็นพระเชียงแสนยุคหลัง เป็นศิลปะลักษณะคล้ายไปทางหลวงพระบาง ต้นพุทธศตวรรษที่ 20 ถ้ามองแบบทางสุโขทัยก็เป็นยุคปลายสุโขทัย ข้อมูลนี้บันทึกโดย ปู่ช่วย บ้านนาพึง เรียบเรียงโดย นายอดิเรก คุณศิริ อาสาพัฒนารุ่นที่ 61 มีติดไว้ที่กุฏิเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ชัยนาพึง อ.นาแห้ว จ.เลย พุทธศาสนิกชน ที่มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวเมืองเลย ควรแวะเข้าไปกราบขอพรจาก 'พระเจ้าองค์แสน' หรือ 'พระเจ้าแสนห่า' พระคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดเลย เพื่อความเป็นสิริมงคล
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
ทราบเพียงว่า ที่วัดนี้มีประวัติเกิดมาก่อนสร้างหมู่บ้านนาพึงเสียอีก...
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
ส่วนใหญ่สร้างไว้บนบก บางแห่งขังน้ำล้อมรอบ เพื่อป้องกันปลวก เป็นอาคารทรงสูง ใต้ถุนโปร่ง หรือทึบ ส่วนใหญ่ทำบันไดไว้ด้านนอก แต่บางแห่งใช้บันไดพาดขึ้นทางด้านใน รูปทรงทั่วไปคล้ายคลึงกับอุโบสถ หรือวิหาร แต่มีขนาดเล็กกว่า เช่น หอไตรวัดโพธิชัย บ้านนาพึง และวัดศรีโพธิชัย บ้านแสงภา อำเภอนาแห้ว ซึ่งมีลักษณะพิเศษ เป็นหลังคาสองชั้น มีลวดลายฉลุโปร่ง ตกแต่งสวย
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
ลักษณะของลายเส้นและการใช้สีบ่งบอกถึงความมีอิสระและเป็นศิลปะพื้นถิ่นอย่างแท้จริง
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
เกี่ยวกับเรื่องพุทธประวัติ และพระเวสสันดรชาดก
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
เป็นเรื่องเกี่ยวกับ เนมิราชชาดก สังข์ศิลป์ชัย และการะเกต
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
มีความผสมผสานระหว่างล้านช้างและล้านนา
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
ที่ประตูมีทั้งสามทิศมีสัตว์หิมพานต์เฝ้าอยู่ด้านละ 1 คู่
รีวิวเมื่อ 28 ก.ค. 55
รีวิวเมื่อ 18 ต.ค. 53
เป็นธรรมาสน์อีกแบบหนึ่งที่นิยมสร้างให้วิจิตรพิศดาร มีทั้งในพระอุโบสถ และในศาลาการเปรียญ และที่อยู่นอกอุโบสถ ใช้ทั้งสวดปาฏิโมกข์และเทศนา ส่วนที่อยู่นอกอุโบสถจะใช้เฉพาะในการเทศน์เท่านั้น ธรรมาสน์ทรงปราสาทมีการจัดสร้างขึ้นตามกำลังศรัทธาเช่นเดียวกัน ธรรมาสน์ ทรงปราสาทหลังนี้ ไม้ที่แกะสลักค่อนข้างอ่อนช้อยสวยงาม ลงรักปิดทอง แต่หมู่บัวขนุนที่ชานรับ ธรรมมาสน์ทรงปราสาท ซุ้มมายอดปราสาท บนมุมบรรจบมีนาคแกะสลักและลวดลายตามขอบชั้นต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ตอบได้ถึงลายผสมไทยลาวได้ดี
รีวิวเมื่อ 18 ต.ค. 53
รีวิวเมื่อ 18 ต.ค. 53
วิหาร เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าก่ออิฐถือปูนหันหน้าไปทางทิศเหนือ มีประตูทางเข้า 3 ด้าน คือ ทิศเหนือ ตะวันออก และตะวันตก ประตุทั้ง 3 ทิศ มีสัตว์หิมพานต์เฝ้าอยู่ ด้านละ 1 คู่ ส่วนผนังด้านทิศใต้ก่อทึบ หลังคาทรงจั่วมุงด้วยไม้แป้นเกล็ด มีชายคาปีกนก โดยรอบรองด้วยเสาไม้หลังคาวิหารคลุมต่ำมาก ซึ่งเป็นรูปแบบเฉพาะของอาคาท้องถิ่นจังหวัดเลยและยังช่วยป้องกันภาพจิตรกรรมฝาผนังอีกด้วย